เล่ห์ศึกในอดีตกาล

June 12th, 2009

ในการศึกสงครามนั้น แต่ละฝ่ายก็มุ่งหวังที่จะเอาชนะ ซึ่งถ้าสามารถสอยฝ่ายตรงข้าม ได้ด้วยศักยภาพของกองทัพโดยตรงแล้ว ก็จัดว่าเป็นศึกธรรมดาทั่วไป (Conventional Warfare) แต่ถ้ามีพละกำลังน้อยกว่า ไม่สามารถปะทะฝีมือได้ ต้องใช้กลยุทธ์ที่ข้าศึกนึกไม่ถึง มาต่อกรจนได้ชัยชนะ ดัง?จะ?นำ?มา?เล่าสู่?กัน?ฟังหนนี้ครับ
กลยุทธ์เก่าแก่ที่สุดน่าจะได้แก่มหาสงครามในตำนานของท่านกวีกรีก โฮเมอร์ ใช่แล้ว สงครามกรุงทรอย นั่นเอง โดยเมื่อทัพกรีกที่กรีธาข้ามทะเลอีเจียนไปตีกรุงทรอยเพื่อชิงเอาเฮเลน ชายาคนงามของท้าวเมเนเลียสกลับคืนมา แต่กลับถูกฝ่ายทรอยที่เล็กกว่ายันไว้ได้เกือบ 10 ปี กระทั่งขุนศึกสำคัญของทั้ง 2 ฝ่ายได้จบชีวิตลงไปด้วยกันเกือบหมด สุดท้าย โอดิสซีอุส กุนซือของกรีกจึงต้องงัดเอากลศึกม้าไม้ขึ้นมาใช้ เมื่อฝ่ายทรอยหลงกลขนเอาม้าไม้มหึมาเข้าไปในเมือง ตกดึกทหารกรีกที่ซ่อนตัวอยู่ภายในตัวไม่จึงออกมาทำลายล้างกรุงทรอยจนพินาศแบบโหดร้ายทารุณ สาสมกับความแค้นที่อัดอั้นมาแต่เริ่มศึก ฆ่าผู้ชายทุกคนในเมือง ข่มขืนสตรีแล้วก็จับเอาไปเป็นนางบำเรอและทาส ส่วนท้างเปรียมกษัตริย์ทรอยก็ถูกปลงพระชนม์ที่หน้าแท่นบูชาเทพเจ้า
ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ว่า สงครามกรุงทรอยนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงนิยายที่โฮเมอร์สร้างสรรค์ขึ้น แต่นักโบราณคดีผู้โด่งดัง ไฮน์ริช ชไลมานน์ ได้ขุดค้นพบซากเมืองโบราณ ในปีค.ศ.1873 ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกับกรุงทรอยในอดีต
ศึกต่อมาเป็นการยกทัพข้ามแผ่นดินยาวไกลบ้างโดย ขุนทัพจากแอฟริกานาม ฮันนิบาล ฮันนิบาล (Hannibal) ถือกำเนิดในปีที่ 247 ก่อนค.ศ. ณ นครคาร์เธจ หรือตูนิเซียในปัจจุบัน บิดาของเขาคือจอมทัพฮามิลคาร์บาร์ต ผู้เสียชีวิตในสงครามกับโรมัน ซึ่งเป็นศัตรูสู้รบขบเคี่ยวกันมากับคาร์เธจโดยตลอด และฝากฝังให้ ฮันนิบาล ผู้บุตรกระทำศึกล้างแค้นแทนต่อไป
ปีที่ 218 ก่อนค.ศ. ฮันนิบาล วางแผนการณ์โจมตีอาณาจักรโรมัน เส้นทางที่สั้นที่สุดจากคาร์เธจไปสู่อิตาลีนั้นคือทางเรือ โดยฝ่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หากทว่าคาร์เธจไม่มีกองทัพเรือ หนทางเดียวที่จะทำศึกได้คือ ยกขบวนรี้พลเดินเท้าเป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ สู่กรุงโรม กองทัพฉันนิบาลประกอบด้วยทหาร 90,000 นาย ม้าศึก 12,000 ตัว และช้างศึก 37 เชือก
ทั้งนี้เพราะฮันนิบาลรู้ดีว่าทัพของเขาจะต้องฟันฝ่าข้ามขุนเขาแอลป์ ที่เต็มไปด้วยก้อนหินระเกะระกะ จึงต้องการพาหนะที่แข็งแกร่งในการบรรทุกสัมภาระทั้งเสบียงและอาวุธ และเขาก็พบว่าช้างแอฟริกาน่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด
ช้างศึกประจำองค์ของฮันนิบาล มีชื่อว่า เซอร์ริส สูงใหญ่กว่าช้างทั่วไปที่มีความสูง 9-8 ฟุต ช้างทุกตัวจะมีควาญควบคุม
เส้นทางของทัพคาร์เธจอ้อมคาบสมุทรแล้วผ่านสเปนข้ามเขาไพรีนีส์อย่างสบายๆ เป็นการพิสูจน์ว่าทัพช้างเดนทางได้ดี กระทั่งมาถึงตอนใต้ของฝรั่งเศส ก็เจออุปสรรคสำคัญ นั่นคือ แม่น้ำโรนอันเชี่ยวกราก
ช้างนั้นไม่กลัวภูเขา แต่หวาดหวั่นกระแสน้ำ จึงไม่ยอมลุยข้ามไป ฮันนิบาลสั่งการให้ไพร่พลสร้างแพขนานต่อกันข้ามฟากสู่ตลิ่งตรงกันข้าม แล้วขนดินมาปูบนท้องแพ เพื่อลวงตาคชสารว่าเป็นแผ่นดิน หากทว่า ช้างศึกฉลาดกว่าที่คิดจึงไม่สำเร็จ
และแล้ว ควาญช้างนายหนึ่งก็ปิ๊งไอเดียทีเด็ด เขามีช้างพังที่กำลังเป็นสัดพอดี จึงขี่ช้างพังเชือกนี้นำหน้าลงแพ เหล่าช้างพลายที่เหลือต่างก็ไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าติดตามนางช้างพังอย่างกระชั้นชิด เพื่อหวังผสมพันธุ์ด้วยตัณหาตามธรรมชาติ
ในที่สุดทัพม้าทัพช้างของฮันนิบาลก็มาถึงเทือกเขาแอลป์ ในเดือนตุลาคม ของปีที่ 218 ก่อนค.ศ. ก่อนหน้าฤดูหนาวอันหฤโหดจะมาถึง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น ฮันนิบาลรู้ดีว่าทหารของเขาจะต้องถึงฆาตจากอากาศเยือกเย็นและการขาดอาหาร เขาจึงยกพลรีบเร่งตัดช่องเขาแอลป์ ที่มีความสูงราว 9,000 ฟุต โดยส่งทหารช่างนำหน้าเพื่อปรับพื้นที่ถนน ตามด้วยทัพม้า และทัพช้าง
ระหว่างช่องทางผ่าน ฮันนิบาลชักจูงให้ชนเผ่าท้องถิ่นเข้าร่วมในขบวนทัพไปตีโรม ซึ่งเมื่อเผ่าต่างๆได้เห็นทหารที่ฮึกเหิม อาวุธและช้างม้าครบครัน ก็เชื่อว่าทัพนี้น่าจะพิชิตโรมได้ จึงพากันเข้าร่วมด้วย
แม้การข้ามแอลป์จะเป็นผลสำเร็จ แต่ฮันนิบาลก็ต้องสังเวยชีวิตทหารของเขาให้แก่ความกันดารและหนาวเหน็บไปถึง 65,000 นายเกือบสามในสี่ของกองทัพที่ยกมา
แล้วกองทัพของทั้ง 2 ฝ่ายก็เผชิญหน้ากัน ณ แม่น้ำทิซินุส ทหารโรมันเมื่อได้เห็นช้างเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ถึงกับตลึงพรึงเพริด และในการปะทะกับแบบย่อยๆที่เกิดขึ้น ฝ่ายคาร์เธจก็สามารถกำชัยชนะเอาไว้ได้
ทว่าไม่นาน โรมันก็อาศัยแท็คติก ที่เพิ่งค้นพบในการสู้รบกับทัพคชาสารตัวมหึมา ตัวมันใหญ่โตก็จริง หากทว่า มันกลับรังเกียจกลิ่นโลหิต
เมื่อโรมันได้รู้จึงใช้วิธีเหี้ยมเกรียม นั่นคือ ตัดคอม้าศึกในทัพหน้า จนเลือดพุ่งเหม็นคาวคลุ้งไปทั่ว พอช้างได้กลิ่นเลือดก็ออกอาการแตกตื่น หันหลังกลับและวิ่งตลุยเข้าไปในทัพของมันเอง เมื่อเห็นไพร่พลโดนช้างเหยียบย่ำ ฮันนิบาลจึงมีบัญชาให้ควาญช้างจัดการสังหารมันในทันที เหล่าควาญช้างจึงใช้ตะบองตอกตะขอเหล็กเข้าไปที่ลำคอของช้าง ตัดเส้นเลือดใหญ่ขาด เจ้าสัตว์มหึมาพลันล้มลงสิ้นใจ
คชาสารบางเชือกเหลือรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ไม่อาจทานทนต่อความหนาวเยือกในเหมันตฤดูที่มันไม่เคยได้สัมผัส คงเหลือเพียงเชือกเดียวคือ เซอร์ริส คชาประจำองค์ฮันนิบาล ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของจอมทัพแห่งคาร์เธจผู้ประทัพอยู่บนคอของมันทุกครั้งที่ออกศึก
กลยุทธ์หนึ่งซึ่งฮันนิบาลมักนำมาใช้ได้แก่ ลวงให้ข้าศึกถลำเข้ามาติดกับในวงล้อมแล้วทหารราบกับทหารม้าที่เก่งกาจกว่าก็จัดการสังหารเสียทั้งนี้พระองค์จะตั้งแนวทัพโดยให้ฝ่ายข้าศึกต้องหันหน้าเข้าหาแสงแดด อีกทั้งตรวจสอบทิศทางของกระแสลม เพราะเมื่อเกิดการสู้รบตะลุมบอนก็ย่อมบังเกิดฝุ่นฟุ้งตลบ ข้าศึกซึ่งอยู่ใต้ลมจะโดนฝุ่นละอองธุลีปลิวเข้าหาหน้าตาจนมองไม่เห็น นอกจากนี้ก่อนการทำศึกทุกครั้ง ฮันนิบาลจะให้ทหารได้กินอาหารดีๆเต็มอิ่มเพื่อจะได้มีพละกำลัง แถมยังให้ทุกคนทาตัวด้วยน้ำมันมะกอก ป้องกันสัมผัสจากลมที่เย็นยะเยือก
นับเป็นจอมทัพที่นำกลยุทธ์ทุกรูปแบบมาใช้ในการศึก
ทว่าด้วยรี้พลที่น้อยกว่า รบอย่างไรก็ไม่อาจตีโรมันให้แตกได้
กระทั่งในที่สุด ทัพโรมันก็โอบล้อมค่ายคาร์เธจได้ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในตุรกีปัจจุบัน จอมทัพฮันนิบาลในชันษา 65 พร้อมด้วยชายา และธิดาต้องจบชีวิตลง
จอมยุทธ์ชื่อก้องโลกอีกผู้หนึ่งย่อมได้แก่ เจงกิสข่าน ผู้มั่นหมายครอบครองโลก
ท่านข่านถือกำเนิดในปี ค.ศ.1162 ในบ้านชาวนาใกล้แม่น้ำโอนอน มองโกเลีย มีชื่อเดิมว่า เตมูจิน ช่วงนั้นชนมองโกลกระจายเป็นเผ่าเล็กเผ่าน้อย เมื่อเตมูจินเติบใหญ่ขึ้นก็ได้ทำศึกรวบรวมทีละเผ่าจนกระทั่งเป็นหนึ่งเดียว และตั้งตนเป็นจักรพรรดิในนาม เจงกิสข่าน พร้อมกับสร้างกองทัพมองโกลให้เกรียงไกร
นักรบมองโกลนั้นได้รับการฝึก ให้ขี่ม้าเป็นตั้งแต่ก่อนเดินได้เสียอีก พวกเขายังชีพด้วยการเลี้ยงฝูงม้า จึงเชี่ยวชาญในการขับขี่บังคับอาชาอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ธนูขณะอยู่บนหลังม้าได้อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ
ทัพม้ามองโกลเดินทางได้รวดเร็วกว่าทหารเดินเท้าหลายสิบเท่า ทหารแต่ละคนมีม้าประจำกาย 5 ตัว และสลับเปลี่ยนขี่ระหว่างเดินทาง ทำให้ม้าไม่เหน็ดเหนื่อยและวิ่งได้เต็มกำลัง ความรวดเร็วในการเคลื่อนทัพจึงทำให้ข้าศึกไม่ทันรู้ตัวและเป็นกลศึกสำคัญที่ทำให้มองโกลพิชิตสงครามได้อย่างราบคาบ
กระทั่งว่าในช่วงค.ศ.1206 ถึง 1226 นั้น จอมจักรพรรดิเจ็งกิสข่านสามารถแผ่ขยายอาณาจักรมองโกละครอบคลุมได้ถึงสองในสามของแผ่นดินเอเชียและยุโรป รวมถึงรัสเซีย จีน โปแลนด์ อิหร่าน ฯลฯ เข้าไว้ด้วย
นักรบมองโกลทำศึกดุจเดียวกับพวกเขาล่าสัตว์ โดยจะช่วยกันไล่ล่าให้สัตว์ตกอยู่ในวงบ้อม จากนั้นก็รุมสังหารอย่างรวดเร็ว
อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในขณะตั้งค่ายพักแรม ทหารแต่ละคนจะจุดกองไฟขึ้น 5 กอง ทำให้ข้าศึกเห็นประหนึ่งมีรี้พลมหาศาล เพราะสว่างไสวไปทั้งค่ายในยามกลางคืน ส่วนการเดินทางยามกลางวัน เนื่องจากทุกคนมีม้า 5 ตัว บางครั้งจึงให้ผู้หญิงและเด็กนั่งบนตัวม้าที่ปล่อยไว้เบื้องหลัง แลดูแล้วเหมือนมีขบวนทัพที่ยาวเหยียดต่อเนื่อง ราวกับแสนยานุภาพถึงครึ่งล้าน ทั้งที่จริงแล้วมีทหารอยู่เพียงแค่แสนเดียว นี่เป็นจิตวิทยาที่ทำให้ข้าศึกหวั่นไหว และหมดกำลังใจที่จะสู้
แต่ไม่ทันที่จะได้ครองโลกดังใจ ท่านข่านก็เผอิญสิ้นชีพเสียก่อนใน ค.ศ.1227 จากอุบัติเหตุในระหว่างการล่าสัตว์ ทิ้งไว้แต่จารึกในประวัติศาสตร์ถึงความเป็นขุนศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก
เล่ห์สงครามสุดท้ายที่จะนำมาเล่า ออกจะเป็นกลยุทธ์อันน่าขยะแขยงที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1346
แคฟฟา (Kaffa) เป็นเมืองท่าริมทะเลดำของอิตาลี เป็นจุดสุดท้ายของเส้นทางสายไหมจากเมืองจีน และตั้งอยู่ติดกับชายแดนของอาณาจักรมองโกล โดยทัพมองโกลก็ได้มารายล้อมอยู่นอกกำแพงเมืองเมือง แต่ยังไม่อาจโจมตีแคฟฟาให้แตกได้
และแล้วก็ได้เกิดการระบาดของเชื้อกาฬโรค ในหมู่ทหารมองโกลที่ติดเชื้อมาจากดินแดนตะวันออก ตามผิวหนังของผู้ป่วยจะบวมและเกิดจุดดำๆอันเนื่องมาจากการตกเลือดภายในร่างกาย สุดท้ายทหารมองโกลก็ล้มตายเกลื่อนกราด ซากทหารที่ตายทำให้แม่ทัพมองโกลเกิดไอเดียกระฉูด แทนที่จะต้องเสียเวลากำจัดหรือฝังศพ เขาได้บัญชาในนำทหารเหล่านั้นวางลงในเครื่องยิงก้อนหิน แล้วดีดศพให้ลอยละลิ่วข้ามกำแพงเมืองแคฟฟาเข้าไป
นอกจากจะน่าเกลียดและส่งกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว ที่สำคัญศพทหารมองโกลยังแพร่เชื้อกาฬโรคสู่ชาวเมืองแคฟฟา เกิดการระบาดและคร่าชีวิตชาวเมืองไปมากมาย หลายคนจำต้องทิ้งบ้านเรือนและหนีไปอิตาลี พวกเขาลงเรือออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นำเชื้อกาฬโรคระบาดไปทั่ว สู่เกาะซิซิลี สู่นครคอนแสตนติโนเปิล ในที่สุดยุโรปตะวันตกทั้งหมดก็ตกอยู่ใต้มหันตภัยของโรคร้ายนี้
กาเบรียล เดอ มุสซี่ นักประวิติศาสตร์อิตาลีได้บันทึกถึงความร้ายกาจของเชื้อกาฬโรคที่เขาได้เห็นกับตาว่า
“…พระเจ้า! บรรดาเรือสินค้าของเราที่แล่นเข้าสู่เมืองท่า ลูกเรือจำนวนนับพันนั้น แทบจะเหลือไม่ถึงสิบ…”
ผลแห่งกลยุทธ์มองโกลส่งความหายนะเกินคาด ภายในช่วง 3 ปีหลังจากนั้น กาฬโรคได้คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 25 ล้านคน เกือบ 1 ใน 3 ของประชากรยุโรป ส่วนมองโกลก็หาได้ประโยชน์จากอาวุธชีวภาพของตนไม่ เพราะ ทหารมองโกลเอง ก็ต้องรับเคราะห์ล้มตายจากกาฬโรคไปด้วยเช่นกัน เดอ มุซซี่ เขียนไว้ว่า
“นี่อาจเป็นสวรรค์บันดาลให้คนบาปต้องได้รับโทษจากการกระทำของตน”
เรื่องราวของเล่ห์ศึกอื่นๆในอดีตยังมีอีก ถ้าสนใจก็ติดตามดูได้จาก โทรทัศน์ทรูวิชั่น ช่อง History (44) ในชื่อเรื่อง “Unconventional Warfare” ในวันที่ 22 กันยายน เวลา 20.00 น. คร้าบผม

เรื่องนี้จากนิตยสารรายเดือน ต่วย’ตูนพิเศษ ประจำเดือนกันยายน 2550

กรุงโรมล่มเพราะคนเถื่อนหรือยาพิษ

June 12th, 2009

ในบรรดาอาณาจักรอันรุ่มรวยที่สุด ของโลกในสมัยโบราณ โรมนับเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุด ความจริงอันนี้ คงไม่มีใครเถียงเลยนะคะท่านผู้อ่าน แต่ว่าเมื่อมีรุ่งมันก็ต้องมีเสื่อมเป็นธรรมดา โรมเสื่อมลงเพราะหลายสาเหตุ และหลายสาเหตุนี้นำไปสู่ความวิบัติซึ่งถูกกระหน่ำซ้ำเติม ด้วยการโจมตีจากคนเถื่อนอย่างที่เราเข้าใจกัน
แต่ในหลายๆสาเหตุที่เข้าใจกันมา มันครบหมดแล้วจริงหรือเปล่า ?

วันนี้เราจะมาพูดเรื่องนี้กันสักหน่อย
ย้อนเหตุการณ์กันหน่อยนะคะ ในคืนหนึ่งอันร้อนอบอ้าว ในปีค.ศ. 410 ประตูเมืองโรมที่ถูกปิดตาย ก็ถูกคนพวกหนึ่งเชื่อกันว่าเป็นพวกทาส เปิดออกรับชาวโกธที่ตั้งค่ายอยู่รายรอบ กองทัพคนเถื่อนพวกนี้นำโดย อลาลิค เข้าล้อมและปล้น “นครอมตะ” เป็นเวลากว่า 3 วัน เมืองที่ได้ชื่อว่าไม่เคยถูกใครรุกรานเป็นเวลาถึง 800 ปี ก็สิ้นชื่อ

ข่าวโรมช็อกโลก เซนต์เจโรม คนเมืองโรมโดยกำเนิด ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่เบธเลเฮมถึงกับคร่ำครวญ
“เมื่อแสงที่สว่างที่สุดของโลกทั้งมวลดับลง เมื่ออาณาจักรโรมันไร้แล้วเสียซึ่งศีรษะ เรียกได้ว่า คือโลกทั้งโลกตายไปพร้อมนครแห่งนั้น ทำให้ข้าพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว”
มันเป็นข่าวเศร้าสำหรับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวกคริสเตียนทีเดียวค่ะ นครใหณ่ร่มสลาย นครใหญ่ซึ่งเป็นเมืองอันเต็มไปด้วยความก้าวหน้า ยังเป็นขุมกำลังสำคัญของชาวคริสต์ เมื่อถูกปล้นถูกโจมตี ก็ไม่ได้หมายแค่ความย่อยยับของนครแห่งนั้น หากเป็นทั้งโลกคริสเตียน

เหตุหนึ่งที่ทำให้โรมันตะวันตกล่ม มาจากความอ่อนแอของชาวโรมัน ทหารโรมันในระยะหลังกลับไม่ใช่คนโรมแท้ๆ คนร่ำรวยไม่อาจเป็นทหาร เพราะถูกจักรพรรดิกีดกันกลัวจะเข้ามาหาเสียงล้มบัลลังก์ ข้างคนจนแม้อยากเป็นทหารก็ถูกภาวะในการทำมาหากินบีบรัดทำให้เป็นทหารไม่ได้ จักรพรรดิโรมันต้องการหาทางออกด้วยการจ้างทหารต่างชาติ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนเถื่อนพวกนี้แหละค่ะ บางคราวจ้างทั้งเผ่าเลยก็มี โดยเฉพาะพวกเชื้อสายเยอรมันเป็นพวกที่ชาวโรมจ้างไว้ในกองทัพมากที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความภักดี ความรักชาติต้องแตกต่างจากชาวโรม เขาทำตามที่หัวหน้าของเขาสั่งเท่านั้น

อลาริค เองก็เป็นหัวหน้าคนเถื่อนเผ่าหนึ่งที่รับจ้างเป็นทหารให้กรุงโรม เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่เขาเพียรขอตำแหน่งผู้บังคับบัญชาคุมกำลังพันธมิตร และขอแผ่นดินพอที่จะแบ่งให้ผู้คนในอาณัติได้ทำกิน เขาแค่อยากเข้าไปมีส่วนในความร่ำรวยของคนโรมที่เขาร่วมรักษาเท่านั้น แต่ว่าสิ่งที่ชาวโรมตอบสนองกลับมาก็เพียงให้เงินเขามากขึ้นเป็น 2 เท่า และไม่แยแสในสิ่งที่เขาขอเลย ครั้นมาถึงจุดที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป อลาริกก็นำพวกเขามาล้อมและปล้น ต้องการให้คนโรมเห็นแสนยานุภาพของทัพชาวป่ามากกว่าที่จะจ้องทำลายเมืองโรมจริงๆ
นี่ก็เป็นเพราะว่าอลาริกเป็นคนที่เลื่อมใสในความรุ่งเรืองของคนโรมเช่นเดียวกับคนของเขา

พวกเถื่อนที่นำโดยผู้นำคนนี้รับเอาวัฒนธรรมของชาวโรมไว้ในวิถีชีวิตมากมาย ขนาดเมื่อมีการสร้างวังของทายาทอลาริกที่ตูลูส คนโรมันที่เคยเห็นกล่าวว่า
“มันเป็นการผสมผสานที่ดีที่สุดของความปรานีตแบบกรีก ความหรูหราแบบอิตาลี และความมีพลังของชาวกอล”
นี่แตกต่างจากสภาพของชาวโรมที่อยู่ห่างไกลปืนเที่ยงแทบจะตรงกันข้าม เพราะชาวชนบทโรมันกลับรับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนที่พวกเขาเรียกว่า “คนเถื่อน” จนแทบจะกลายเป็นคนเถื่อนเสียเอง

เหตุการณ์ที่อลาริกนำพวกเข้าปล้นเมืองเมื่อปี 410 นี่นะคะท่านผู้อ่าน ไม่ใช่จุดจบที่แท้จริงของโรมันตะวันตกแต่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ซึ่งทำให้ชาวโรมตกตะลึง ด้วยเป็นครั้งแรกที่นครอมตะซึ่งไม่มีใครหาญสู้มาถึง 800 ปี ถูกข้าศึกเข้าย่ำยีชนิดคนโรมไม่มีทางสู้ รอยที่อลาริกทิ้งไว้กับชาวโรมันไม่ใช่การทำลายร้างอย่างในปี 454 ที่ราชา ไกเซอริค กษัตริย์ของพวกแวนดาลทำ แต่ก็เป็นรอยแผลบาดลึกที่ยากจะรักษา

ถึงแม้ว่าชาวโรมันไม่ได้ย่อยยับไปทั้งหมดในเวลานั้น และอาณาจักรโรมันตะวันตกซึ่งมีโรมเป็นเมืองหลวงยังคงอยู่ มีการบูรณะเมืองโรมให้รุ่งเรืองอีกครั้งในเวลาต่อมา และยังคงเป็นนครหลวงมาจนกระทั่งในปี 476 เมื่อจักรพรรดิ โรมิวลุส ออกุสตุส กษัตริย์องค์สุดท้ายถูกทหารรับจ้างของพระองค์ ขับลงจากตำแหน่ง จึงนับเป็นจุดจบอันแท้จริง ขณะที่ฟากตะวันออก อาณาจักรโรมันตะวันออกซึ่งมีคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง ยังคงถิ่นฐานบ้านเมืองมาจนถึง ค.ศ.1453 จึงโดนพวกเติร์กยึด

อย่างไรก็ตาม การปิดฉากของนครโรมตามประวัติศาสตร์ทิ้งปริศนาไว้ให้เราต้องขบคิดเหมือนกัน สิ่งนั้นก็คือ คำถามที่ว่า ทำไมเมืองโรมจึงตกเป็นของคนเถื่อนเร็วนัก ไม่มีใครตอบปัญหานี้ได้เลย ต่างคนต่างโทษว่าเป็นเพราะความร่ำรวย ความฟุ้งเฟ้อเกินขนาดของชาวโรมเอง ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ว่าในปี 1969-1976 การขุดอุโมงค์ที่ ไซเรนเซสเตอร์(Cirencester) ทางใต้ของอังกฤษ ได้พบโครงกระดูก 450 โครง ในสุสานโบราณของโรมัน ซึ่งมีอายุสืบไปได้ถึงปลายศตวรรษที่ 4 ต่อกับต้นศตวรรษที่ 5 นี่ซิคะ ที่ความจริงบางอย่างก็เปิดเผยขึ้น

และนี้อาจเป็นระเบิดเวลาที่เตรียมพร้อมให้โรมล่มก็ได้
สิ่งที่พบนั้นคือ กระดูกส่วนใหญ่มีสารตะกั่วอยู่ในเนื้อกระดูกมากกว่าปริมาณปกติถึง 10 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงกระดูกเด็กหลายโครง ซึ่งมีผลกระทบอย่างแรงต่อการมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น คนพวกนี้จึงอาจตายเพราะรับสารตะกั่วมากเกินไป….!!
แม้ว่าความจริงข้อนี้จะไม่มีการพิสูจน์ แต่เราพอจะรู้เลาๆจากเรื่องราวบันทึกในสมัยเดียวกันว่า ในอาณาจักรโรมมีผู้คนจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดหัว และแขนขาอ่อนเปลี้ยค่ะ อาการที่ว่านี้เป็นอาการเรื้อรังของการรับสารตะกั่วมากเกินไป ไซเรนเซสเตอร์ นับเป็นเมืองโรมในอังกฤษที่ใหญ่เป็นอันดับสอง สิ่งที่มีอยู่ที่นี่ก็น่าจะมีในนครรัฐของโรมทั่วไป

เป็นที่รู้กันแล้วว่าชาวโรมัน ภาคภูมิใจกับระบบการประปาของตัวเองยิ่งนัก ยิ่งผนวกกับที่ชาวโรมันตะวันตกมีเหมืองตะกั่วเป็นของตนเอง พวกเขาก็ได้ใช้ประโยชน์จากแร่ธรรมชาติอันมากมายโดยไม่ทันนึกถึงอันตรายของมัน เขาใช้ท่อตะกั่วส่งน้ำ ดื่มน้ำจากถ้วยตะกั่ว ทำอาหารในหม้อตะกั่ว แถมยังใช้สนิมตะกั่วเติมไวน์ให้ได้รสหวานเวลาน้ำตาลขากแคลน

ชาวบ้านโรมันธรรมดามีสิทธิได้รับตะกั่วจำนวนมากในช่วงชีวิต มันนำมาซึ่งอาการเงื่องหงอย ความอ่อนแรง ท้ายที่สุดมันทำให้คนมีลูกยาก พลเมืองที่ไม่เพิ่มขึ้นทำให้จักรพรรดิชาวโรมองค์ท้ายๆชักจะหวั่นวิตก พยายามส่งเสริมให้พลเมืองของพระองค์ผลิตทายาทกันให้มากขึ้น นี่อาจบ่งชี้ได้ว่าอาจมีภาวะขาดคนขึ้นในโรมได้

ตะกั่วอาจเป็นที่มาของรายได้แม้ว่าจะเป็นเนื้อแร่ที่ไม่ค่อยมีราคามากนัก แต่มันก็นำมาซึ่งความตายและการสูญเสียเผ่าพันธุ์โดยชนโรมันไม้ทันคาดคิด
สารตะกั่วอาจไม่ใช่เหตุเดียวที่จะพาโรมันตะวันตกไปสู่ความล่มจมในศตวรรษที่ 5 ก็จริงอยู่ค่ะท่านผู้อ่าน แต่เราอาจตอบปัญหาที่ว่าเหตุใดโรมันตะวันออกจึงอยู่ต่อมาได้ตั้ง 1,000 กว่าปี

คำตอบนั้นมีหลายประการ เช่นว่า อาณาจักรตะวันออกมีพรมแดนสั้นกว่า ทำให้มีผู้รุกรานน้อยกว่า และที่สำคัญอาณาจักรฟากนี้มีเหมืองตะกั่วน้อยกว่าฟากตะวันตกมาก หนำซ้ำผู้คนยังมีนิสัยการบริโภคต่างกันสิ้นเชิง
เพราะพวกเขาดื่มกินจากจานดินเผาและทำอาหารในหม้อดินเผาอีกเช่นกัน…..เฮ้อ

เกร็ดความรู้
ว่ากันว่าคนโรมต้องใช้น้ำเป็นจำนวนกว่า 220 ล้านแกลลอน(กว่าล้านคิว) ต่อวันสำหรับการอาบน้ำ สระน้ำสาธารณะ และน้ำพุ น้ำจำนวนมหาศาลนี้ส่งมาทางรางหินชนิดมีฝาปิดขนาดยักษ์ 10 สาย เป็นรางที่ทอดอยู่บนพื้น สะพานซุ้มโค้งที่ทำไว้สำหรับรับเส้นทางส่งน้ำโดยเฉพาะ(aquaduct) เราอาจจะยังเห็นซากอดีตนี้เหลืออยู่หลายที่ เช่น อะควาคลอเดียซึ่งอยู่ในเมืองใกล้กับกรุงโรม
อีกที่หนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ที่ Pontdu Gard ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ที่นี่ลำรางประปาหินชนิดทอดข้ามหุบเขาลึกถึง 160 ฟุต บนสะพานซุ้มโค้ง 3 ชั้น เป็นผลงานการวางแบบของ มาร์คุส อะกริปปา ผู้ซึ่งเป็นทั้งวิศวกรและทหาร ร่องรอยที่เหลืออยู่บ่งบอกว่า เป็นส่วนหนึ่งของระบบขนาดใหญ่ พาดผ่านเชิงเขาส่งน้ำไปยังเมืองนิมส์ ส่วนอันที่แน่ที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นท่อประปาที่อยู่ทางตอนเหนือของอาฟริกา ซึ่งวางอย่างคดเคี้ยวไปมาเป็นระยะทางกว่า 130 ไมล์ ข้ามทะเลทรายและภูเขานำน้ำมาจากแหล่งใหญ่สู่เมืองคาร์เธจ ซากของระบบยังคงเห็นได้ทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อน้ำถูกส่งมาถึงเมืองแล้วก็จะถูกแจกจ่ายไปสู่บ่อเก็บถังน้ำ และท่อประปาขนาดเล็กซึ่งก็จะมีประชากรบางส่วนมักหาทางต่อท่อเข้าบ้านตัวเองอย่างผิดกฎหมาย ด้วยท่อและถังทำจากตะกั่วซึ่งนับว่าเป็นโลหะที่เป็นอันตรายที่สุด เรื่องนี้ แม้ มาร์คัส วิทรูเวียส วิศวกรสำคัญจะออกมาเตือนผู้คน แต่ชาวโรมันตะวันตกระดับชาวบ้านธรรมดาก็ทำหูทวนลมเสีย
ก็ในเมื่อตะกั่วมีอยู่มากมาย พวกเขาเอามาทำเครื่องมือเครื่องใช้จำเป็นต่อชีวิตโดยไม่ต้องเสียสตางค์ไปซื้อหา แล้วจะเป็นอะไรไปเล่า…..พิษภัยของตะกั่วสมัยนั้นก็ยังไม่เป็นที่ปรากฏชัดเจน จนทำให้ผู้คนกลัวจนหัวหดเหมือนเดี๋ยวนี้
พิษภัยของความไม่รู้นั้นต่างหาก ที่เป็นเหตุให้ตนโรมอ่อนแอจนแทบสูญพันธุ์ หากไม่ล่มลงเสียก่อน

จากนิตยสารรายเดือน ต่วย’ตูนพิเศษ ประจำเดือน เมษายน 2547

พบหลุมดำเล็กสุดในสถิติ

June 12th, 2009

นักวิทยาศาสตร์จากองค์การนาซ่า พบหลุมดำที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยพบ พร้อมตั้งชื่อว่า “XTE J1650-500”

นายนิโคไล ชาพอชนิคอฟ เจ้าหน้าที่จากก็อดดาร์ด สเปซ ไฟลต์เซ็นเตอร์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “หลายปีมาแล้วที่นักดาราศาสตร์ต้องการทราบว่าหลุมดำที่เล็กที่สุดนั้นมีขนาดเท่าใด และเจ 1650 อาจทำให้นักดารา ศาสตร์เข้าใกล้กับคำตอบที่สงสัยกันมานาน”

“XTE J1650-500” มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 3.8 เท่า มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 ไมล์ แม้ว่าจะเป็นหลุมดำที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยพบ แต่ถ้าใครเข้าไปใกล้เกินควรแล้วล่ะก็แรงโน้มถ่วงของมันจะทำให้คนผู้นั้นยืดออกโดยมีขนาดเหมือนกับเส้นสปาเกตตีเลยทีเดียว

ชาพอชนิคอฟและเลฟ ทิทาร์ชุก เพื่อนร่วมงาน ใช้ดาวเทียมรอสซี เอกซเรย์ ไทมิ่ง เอ็กซพลอเรอร์และใช้เทคนิคใหม่ที่เรียกว่า “QPO” หรือ “quasi-periodic oscillation” ในการ คำนวณหาขนาดของหลุมดำซึ่งพบอยู่ที่ทางใต้ของกลุ่มดาวเอรา และเหมือนกับหลุมดำอื่นๆ เพราะ “XTE J1650-500” เกิดจากดาวที่หมดพลังงานและดับลงเพราะแรงโน้มถ่วง

นักวิจัยกล่าวว่า การค้นพบที่น่าแปลกใจคือ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” เคยทำนายไว้ว่า หลุมดำที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 3.8 เท่า จะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 ไมล์

ก่อนหน้านี้หลุมดำขนาดเล็กที่สุดที่พบมีชื่อว่า “GRO 1655-40” มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรา 6.3 เท่า

แหล่งข่าว :